น้ำตา...ใบเบิกทาง สู่ใบปริญญา
ผู้เข้าชมรวม
113
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
น้ำตา... ใบเบิกทาง... สู่ปริญญา
ในขณะที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษา ระดับ ปวส. ซึ่งมี อรัญญา พงษ์สัมพันธ์ เป็นหนึ่งใน นศ. ในความดูแลของผม มหาวิทยาลัย มักจะมอบหมายให้ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาดูแล นศ. ระดับชั้น ปวส. โดยตลอด
นับย้อนหลังไปเมื่อหกปีก่อน ผมต้องมารับภาระงานที่หนักหนาสาหัสมากๆ กับการดูแลนักศึกษา .เพราะเมื่อผลสอบเทอมแรกผ่านไป ผลคะแนนของพวกเขา ได้เกรดเกิน 2.00 ไม่ถึง 10 คน จากจำนวน 32 คน
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ในห้องเรียนที่ผมดูแล มีคนสอบได้เกรดสูงสุดเพียง 2.8 เท่านั้น และคนสอบได้ เกรดต่ำสุด ได้เกรดเฉลี่ยเพียง 1.2 ผมคิดว่า นศ. ที่มีผลการเรียนต่ำกว่า 2.00 ย่อมเกิดความรู้สึกที่แย่.. ท้อแท้ เพราะนี่เพียงการเรียนแค่เทอมแรก ก็มาเจอกับมรสุมชีวิตที่พวกเขา ไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต จากที่ผมสังเกต นศ. เกินกว่าครึ่งห้อง ดูจิตใจพวกเขา ย่ำแย่ ท้อแท้ ไม่มีจิตใจที่จะอยากจะเรียนต่อที่สถาบันแห่งนี้อีกแล้ว หลังจากที่ผมส่งผลการเรียนไปยังผู้ปกครองของนักศึกษาแล้ว ทำให้ผมหวนนึกถึง สมัยที่ผมเคยติด F แค่ผมติด Fตัวเดียว ผมยังถูกพ่อด่าเป็นสัปดาห์ ทั้งๆ ที่ผม ได้เกรดเฉลี่ยเกิน 2.00 ทั้งชีวิตที่เรียนมา เคยคิด F เพียงสองวิชา คือ วิชาคณิตศาสตร์ กับ วิชาความอุดมสมบูรณ์ของดิน วิชาแรกติด F เป็นเพราะให้เพื่อนๆ ลอก แต่ถูกอาจารย์ประจำวิชาจับได้ เพราะลอกกันเกือบ 10 คน นี่คือความรู้สึกที่เจ็บปวด ที่ยังไม่ลืมจนวันนี้
ส่วนวิชาหลัง มันเป็น Ego ของอาจารย์ผู้สอน ที่อยากให้ นศ. ให้ความสำคัญวิชาที่เขาสอนเป็นกรณีพิเศษ นศ. ที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้ ส่วนใหญ่กว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ต้องติด F อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่สถาบันที่ผมสอน ซึ่งในอดีตจะมีอาจารย์สามสี่คน มักมีแนวคิดในทางลบว่าวิชาที่ตนสอนจะต้องมีติด F วิชาที่เขาสอนจึงจะดูขลัง เด็กจะได้เกรงกลัว ทำให้ขยันมาเรียน ซึ่งผมมองต่างมุมว่า ไม่จำเป็นเสมอไป
ทุกๆ ครั้ง ที่ผลการเรียนออกมา ไม่ว่าจะอดีตหรือ ปัจจุบัน ผมยังคงเจอกับอาจารย์ผู้สอนที่มีทัศนคติดังกล่าว วิชาที่ขออนุญาตกล่าวถึง ที่อาจารย์ผู้สอนที่มักให้ นศ. ติด F ส่วนใหญ่มักเป็นวิชาสามัญ อาทิ วิชาสถิติ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภาษาอังกฤษ (ในอดีตและปัจจุบัน วิชาเหล่านี้ นศ. ก็ยังคงหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอเกรด F) แต่อย่าคิดว่ าเมื่อเรียนวิชาชีพแล้วจะไม่มี F เพราะที่นี่...มีความพิเศษ...ที่คาดเดายาก จึงต้องมาเรียนรู้ด้วยตนเอง
ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ต้องดูแล นศ. จะได้รับข้อมูลจากแผนกทะเบียน เพื่อจะได้นำมาช่วยวางแผนในด้านการเรียนของ นศ.แต่ละคน หากจะว่าไป ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะให้บรรลุดังใจที่ผมคิดเลย จากข้อมูลที่ผมพอจะจำได้มี นศ. ในความดูแลของผมถูกรีไทร์ ไม่เกิน 10 คน อาจารย์คนอื่นๆ อาจจะเฉยๆ ที่ลูกศิษย์ปวดร้าว แต่ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าพวกเขาเสียอีก เป็นเพราะผมคำนึงถึงปัญหาที่เขาจะ ต้องพบ ต้องเจอ อีกมากมาย แล้วใครเล่าจะเข้าใจ เข้าถึงและช่วยแก้ไขสถานการณ์ ชี้ทางสว่างให้...
เมื่อเปิดเรียนในภาคเรียนที่สอง มี นศ. เกือบ 10 คน ได้มายื่นความจำนง ที่จะขอลาออก เพื่อไปศึกษาต่อที่สถาบันอื่น
“เอางี้.. พวกเรา ใครที่มีผลการเรียนต่ำกว่า 2.00 อย่าเพิ่งท้อแท้นะ.. เดี๋ยวอาจารย์จะช่วยวางแผนการเรียนให้ เทอมนี้ขอให้ทุกคน ลงทะเบียนเรียนกันตามปกติ เพราะจากที่ผ่านๆ มา ก็มีรุ่นพี่ของพวกเรา ก็เคยเจอวิกฤตเป็นแบบนี้ เช่นกัน... อาจารย์ก็เคยได้ช่วยวางแผนด้านการเรียนให้ทุกคน จนสามารถเรียนต่อกันจนถึงชั้นปริญญาตรี... และสำเร็จการศึกษาได้ทุกคน ทุกคนลงทะเบียนเรียนตามปกติไปก่อนนะ ทุกคนอย่าเพิ่งท้อแท้ อาจารย์ขอรับประกันว่า นศ. ในความดูแลของอาจารย์ จะต้องเรียนจบได้ทุกคน” ผมพูดให้กำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้พวกเขา ดูสีหน้าของทุกคน เริ่มคลายความกังวลใจลงมามาก
“จริงๆ นะคะ อาจารย์” นศ. คนหนึ่งพูด
"จริงครับ เชื่อมืออาจารย์ได้" ผมตอบ
ในใจผม ค่อนข้างหวั่นวิตก เกรงไปว่า สิ่งที่ผมพูดออกไป อาจทำไม่ได้ หากเพราะมีตัวแปรหลายประการคือ ตัวนักศึกษาเอง ที่ไม่ขยันเรียน หัวไม่ดี อาจารย์ผู้สอนที่เฮี๊ยบจัด และมีปมด้อยส่วนตัว กลัว นศ. ทำข้อสอบได้ ผมมักจะได้ยินนักศึกษาเปรยๆ ให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า “ อาจารย์ส่วนใหญ่ สอนอย่าง ออกข้อสอบไปอีกอย่าง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนักศึกษายิ่งทำข้อสอบไม่ได้ พวกเขายิ่งจะภูมิใจ ดีใจจนออกนอกหน้า และการที่องค์กรเปิดช่อง ให้ผู้สอนได้เงินส่วนแบ่งจากค่าสอนภาคฤดูร้อน ยิ่งทำให้อาจารย์จำนวนหนึ่ง ได้โอกาสที่จะหาเงินเข้ากระเป๋าตน โดยพวกเขามีเจตนาที่กลั่นแกล้ง กดคะแนนให้ นศ. สอบไม่ผ่านเกณฑ์
"พวกเธอ เตรียมเงินไว้รอลงทะเบียนซัมเมอร์ ได้เลย" อาจารย์ผู้สอนหลายคนพูด บอกให้นักศึกษาทราบล่วงหน้า ผมได้ยินด้วยหูตนเอง บ่อยครั้งผมทนกับการได้ยิน กับคำพูดของคนเป็นครูพวกนั้นไม่ได้ ก็ต้องเข้าไปปะทะคารมกับพวกเขาเนืองๆ
"แย่มาก..ที่พวกคุณ เอาเด็กมาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ทั้งยังรังแกเด็ก รวมทั้งทำลายอนาคตของพวกเขา จิตใจพวกคุณทำด้วยอะไร" ผมเข้าไปต่อว่า
...................................................................................................................
ไม่ว่าอาจารย์รุ่นเก่า รุ่นกลาง รุ่นใหม่ นิสัยไม่ได้แตกต่างกัน พวกเขา มองนักศึกษาเป็นเครื่องมือที่พวกตนคิดว่าจะให้ทำอะไรก็ได้ เพราะมีคะแนน มีปลายปากกา ที่ทรงอำนาจที่จะให้คุณให้โทษเด็กๆ คุณธรรมพวกเขาค่อนข้างต่ำ หากจะพูดกันตามเนื้อผ้า
หลังจากผมได้ใช้เวลาพูดคุยกับ นศ .ในความดูแล และให้กำลังใจแก่พวกเขาแล้ว ผมได้เนินย้ำเป็นพิเศษกับพวกเขาว่า ทุกคนต้องมาพบอาจารย์บ่อยๆ วิชาไหน ที่เรียนแล้วไม่เข้าใจ วิชาไหนที่เรียนแล้วคิดว่า จะไปไม่รอด ขอให้ลองเรียนไปก่อน หากสอบกลางภาคไปแล้ว ผลคะแนนออกมาไม่ดี ก็ให้ไปถอนรายวิชานั้นๆ เสีย ทางหนึ่งที่จะช่วยให้นักศึกษา สามารถมีผลการเรียนดีขึ้น ผมจึงจำเป็นต้องเปิดวิชาเลือกเสรีให้เขาลงล่วงหน้า 1 วิชา และคอยกำชับให้เขาตั้งใจเรียนมากๆ
ส่วนใหญ่ในปีแรกทางมหาวิทยาลัย จะจัดวิชาสามัญและวิชาชีพพื้นฐานอาชีพให้นักศึกษาลงทะเบียนเรียนค่อนข้างมาก ผลการเรียนของ นศ จึงไม่ดีนัก หลังจากสอบเสร็จในเทอมที่สองของปีแรกผ่านไป ผลคะแนนของทุกคนดีขึ้น เป็นเพราะวิชาเลือกเสรีที่ผมเปิดให้พวกเขานั่นเอง ช่วยทำให้เกรดของพวกเขาสูงขึ้น และพ้นวิกฤต การถูกรีไทร์ไปได้ แต่มี นศ . สองคน แม้เธอจะไม่ถูกรีไทร์... แต่มองว่า หากยังเรียนต่อไปคงไม่มีความสุข เนื่องจากไม่ถนัดกับวิชาคำนวณ เทอมนี้เธอติด F สองวิชา คือ บัญชี 1 และการเงินธุรกิจ ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องมีการคำนวณ เธอทั้งสองคน ได้มาหาผมที่บ้าน เพื่อบอกกล่าวว่าเทอมหน้า เธอจะมาขอลาออก เพื่อไปทำงานกับญาติ
"ทนอีกปีหนึ่งไม่ได้เหรอ แป๊บเดียวเอง... เกรดของเธอทั้งสองคน ก็ดีขึ้นมามาก และยังมีสิทธิ์ในการเรียนต่อไปนี่ .. หากลาออกไป วุฒิก็มีเพียงระดับชั้น ม.6 เอง หากทนเรียนอีกปีนึง วุฒิ ก็เทียบเท่าอนุปริญญา เงินเดือนที่ได้เวลาไปทำงานมันแตกต่างกันเลยเชียวนะ" ผมโน้มน้าวให้เธอเปลี่ยนใจ
เมื่อมาถึงช่วงปีสุดท้าย มีนักศึกษา 8 คน ที่ยังคงไม่ได้แก้เกรด F คนละ 2-3 วิชา ผมได้วางแผน ให้พวกเขาควรลงเรียนวิชาที่เหลือภาคฤดูร้อน วิชาที่ต้องเรียนมีวิชาบัญชี 2 วิชาสถิติธุรกิจ รวมทั้งวิชาที่ผมสอน
ในภาคฤดูร้อน ที่พวกเขาลงทะเบียนกัน 8 คน เพื่อจะได้สำเร็จการศึกษาในระดับ ปวส . ผมพยายามกำชับและสื่อสารกับทุกคนเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทางโทรศัพท์ และการสื่อสารทางเฟสบุ๊ค ปนัดดา และ เจนจิรา มาหาผมที่บ้านบ่อยๆ เมื่อมีปัญหา
"เป็นไงบ้าง เรียนบัญชี กับสถิติ" ผมสอบถามด้วยความห่วงใย
"พวกหนูเข้าเรียนกันตลอด ไม่เคยขาด สอบเก็บคะแนน และสอบกลางภาค สอบผ่านกันหมดค่ะ มีเพียงอรัญญา แค่คนเดียว ที่ไม่ค่อยเข้าเรียน และคะแนนเก็บของเขาน้อยกว่าใครๆ เลย เห็นอาจารย์ผู้สอนบอกว่า เขาอาจจะติด F อีกรอบ พวกหนูพยายามติดต่อเขา แต่ก็ติดต่อไม่ค่อยได้เลยค่ะ" เพื่อนๆ ในกลุ่มที่เรียนบอกให้ผมทราบ
เมื่อผมทราบเรื่องราว ด้วยความห่วงใยเขา จึงได้ขอเบอร์โทรศัพท์ จากกลุ่มผู้เข้าเรียน แล้วโทรศัพท์ไปหาอรัญญาทันที
ครั้งที่หนึ่งที่โทรไป ...เงียบ........สนิท
ครั้งที่สอง ...เงียบ........ดังเดิม.....................
ครั้งที่สาม ....ก็ เงียบ......................
"มันอะไรกันนักกันหนา อนาคตของหล่อนแท้ๆ หล่อนยังไม่สนใจ ใส่ใจ"ผมคิด พร้อมกับอารมณ์ขุ่น หลังจากนั้นก็ได้พยายามโทรไปหาเขาอีก ...สัญญาญ..ได้ทำให้ผมทราบว่ามีคนรับสายแล้ว
"สวัสดี อรัญญาเหรอ..อาจารย์โทรมาหาเราไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้งแล้ว รู้มั้ย มัวทำอะไรอยู่ แทนที่จะโทรกลับมาหาอาจารย์บ้าง ก็นิ่งเงียบไปเฉยๆ" ผมพูดออกไปด้วยความอัดอั้น
"บ่อไจ้ ...อรัญญา เจ้า ข้าเจ้า เป็นแม่ของอรัญญาเจ้า" เสียงตอบจากปลายสาย (ภาษากำเมือง)
"ขอสายอรัญญาด้วยครับ ผมมีธุระสำคัญจะคุยกับเขา เรื่องสำคัญมาก"
"บ่ออยู่บ้านเจ้า ออกไปข้างนอก อาจ๋านมีธุระอะหยัง เหรอเจ้า"
" มีด่วนเลย.. เรื่องอนาคตของเขาน่ะครับ ถ้าเขาเข้ามาบ้านแล้ว ให้เขาโทรมาหาผมด่วนเลยครับ"
"จ้าว"
"แค่นี้ล่ะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ" ผมพูดทิ้งท้าย ก่อนวางสายลง
ช่วงค่ำๆ ของวันเดียวกัน ขณะผมนั่งชมข่าว ด้วยอารมณ์ขุ่นๆ เสียงโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น ผมได้เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ เพื่อรับสาย
"สวัสดีค่ะ อาจารย์..... หนูอรัญญาค่ะ อาจารย์มีธุระไรเหรอคะ"
"สบายใจเหลือเกินนะเรา นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่า คะแนนสอบ ที่เราเรียนซัมเมอร์ต่ำมาก เพื่อนๆ เขาเข้าเรียนกันทุกวัน อาจารย์ประจำวิชา เขาสอบเก็บคะแนนเป็นระยะๆ ตัวเธอเองก็ไม่ค่อยจะเข้าเรียน แล้วจะอาคะแนนที่ไหนมาออกเกรดได้เล่า" ผมพูดด้วยความรู้สึกโกรธเพราะห่วงใย เพราะถือภาษิต รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
"หนูขอโทษ ค่ะ"
"พรุ่งนี้ คุณรีบไปดำเนินการติดต่ออาจารย์ผู้สอนขอสอบ และขอโทษอาจารย์เขาเสีย"
ก่อนที่ นศ. จะมาลงทะเบียนซัมเมอร์ ผมได้พุดคุยกับหัวหน้าสาขาบัญชีไว้ก่อนแล้ว เพื่อให้เขาช่วยคุยกับอาจารย์ในสาขาของเขา ให้กรุณาลดหย่อนความเฮี๊ยบลง
วันรุ่งขึ้น เมื่ออรัญญา ไปพบอาจารย์ผู้สอน อาจารย์ผู้สอนยังคงยืนยันว่า จะให้คะแนนตามความเป็นจริงเท่านั้น เอาเกณฑ์ตามเนื้อผ้า เข้าสอบ ก็ได้คะแนน ไม่เข้าเรียนมาขอสอบก็อนุโลมให้สอบได้ ถ้าสอบได้ก็ให้คะแนน จริงๆ ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ผู้สอนทุกประการ เพราะ นศ .ของเรา เป็นฝ่ายผิดจริงๆ เข้าเรียนก็ไม่เข้าเรียน เรื่องอย่างนี้ แม้ผมจะเห็นใจนักศึกษาอย่างมาก และเห็นแก่อนาคตนักศึกษา แต่..เรื่องความถูกต้อง เราก็ต้องไม่ละเลย ใครที่เคยเรียนวิชาบัญชี ที่เขาสอน คงได้รู้ฤทธา ว่าเป็นเช่นไร ผมยังจำได้เสมอในเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ที่เธอจับทุจริต นศ .ในสาขาของเธอเอง เพียงแค่ นศ. พกโพยสูตรบัญชี ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ยังถูกกาหัว ไล่ออกนอกห้องสอบ โดยไม่ปรึกษาผมสักคำ ทั้งๆ ที่ผมเป็นหัวหน้ากรรมการคุมสอบ กิตติศัพท์ของเธอ เป็นที่ร่ำลือ ว่าเป็นมือหนึ่งกระบี่จอมโหด นศ. ที่เรียนกับเธอหากใครไม่ติด F ต้องบอกว่า สุดยอด...จริงๆ
สัปดาห์สุดท้าย ก่อนผลการเรียนภาคฤดูร้อนจะออกมา ผมมีโอกาสคุมสอบกับหัวหน้าสาขาบัญชี
"อาจารย์ พอจะระแคะระคายกับผลคะแนนของ นศ.ในความดูแลของผมบ้างมั้ย ครับ"
"ดูเหมือนจะมีคนหนึ่ง น่าจะติด F นะคะ เพราะคะแนนรวม ไม่ถึงเกณฑ์"
"พอจะจำชื่อได้มั้ย ครับ"
"จำได้ค่ะ ชื่อ อรัญญา"
"ผมว่าแล้ว ...ต้องเป็น อรัญญา"
ข่าวเรื่องอรัญญา ที่ได้ผลการเรียน ค่า F แว่วมา .. จนเจ้าตัว ต้องขอเข้าไปพบผู้สอนเพื่อความแน่ใจว่าเป็นจริงหรือไม่ เมื่อได้เข้าพบและทราบว่าตนต้องติด F เธอจึงได้ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร
"อาจารย์คะ ช่วยหนูไม่ให้ติด F ได้..มั้ยคะ"
"ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ เธออย่าคิดนะว่า ช่วงเธอมาเรียนซัมเมอร์ แล้วครูจะปล่อยเกรดเพื่อช่วยเหลือ เหมือนอาจารย์คนอื่นๆ ตอนเข้าเรียน หากเธอมาเรียนทุกครั้ง สอบเก็บคะแนน ปัญหาก็คงจะไม่มี เพื่อนๆ เธอในห้องไม่มีใครสอบไม่ผ่านสักคน เพราะเขารับผิดชอบ นี่ครูก็ยอมผ่อนปรนให้เธอมากแล้ว" อาจารย์ผู้สอนพูด
นี่คงเป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับคนสอน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน....ปกติ ผมจะยืนข้างนักศึกษาเสมอ ท่าทีของอาจารย์ผู้สอน ยังคงยึดมั่นในเกณฑ์เดิม เมื่ออรัญญา..ออกจากห้องพักครูแล้ว เธอได้ตรงดิ่งมาหาผม ที่ห้องจัดรายการวิทยุทันที
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะกระจกที่ดังขึ้น ในขณะที่ผมกำลังดำเนินรายการวิทยุ
"อาจารย์คะๆ" เสียงเรียก พร้อมเสียงร้องไห้ ที่ดัง จนผมต้องเดินออกมาชะเง้อ..ตามเสียงดังกล่าว เมื่อพบอรัญญาผม ก็รู้ได้โดยทันทีว่า เธอต้องรู้ข่าว เรื่องผลคะแนนและเกรดที่ออกมาอย่างแน่นอน
"หนูติด F วิชาบัญชีอีกแล้วค่ะ... อาจารย์ช่วยหนูด้วย" เธอพูดพร้อมละล่ำละลัก
"ใจเย็นๆ เดี๋ยวค่อยหาแนวทางแก้ไข" ผม ตอบออกไป
"อาจารย์ผู้สอนบัญชี เขาบอกกับหนูว่า ต้องเรียนอีกเทอมนึง นี่หนูได้เสียเงินลงทะเบียน เรียนระดับปริญญาตรีไปแล้ว หมดเงินไปเกือบหมื่น พอดีหนูสอบเรียนต่อได้"
"ทำไงดี" ผมพึมพำเบาๆ ในสมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เพื่อหาแนวทางที่จะแก้ไข และช่วยเหลืออรัญญา อย่างสุดความสามารถ ทางหนึ่งที่คิดได้ คือ รีบไปพบอาจารย์ผู้สอนบัญชีคนนี้ โดยด่วน เพื่อขอความเมตตาจากเขา จะยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ลูกศิษย์ คนนี้ไม่ต้องติด F และให้เขามีโอกาส เรียนต่อระดับปริญญาให้ได้ คิดได้แล้วให้อรัญญานั่งรอ ที่ห้องดำเนินรายการวิทยุ โดยผมต้องประกาศออกหน้าไมด์ว่า
"ขอให้แฟนเพลงทุกท่าน งดโทรศัพท์ ขอเพลง ด้วย ผมต้องมีภารกิจเร่งด่วน" ผมผละจากการดำเนินรายการวิทยุ มุ่งหน้ามาหาอาจารย์ผู้สอนทันที
"นั่งรออาจารย์ที่ห้องนี่แหละ หยุดร้องไห้....ได้แล้วล่ะ" ผมบอกให้อรัญญานั่งรอ ทั้งกำชับให้สงบสติอารมณ์ แม้ผมจะไม่ชอบพฤติกรรมที่เธอทำร้ายตัวเธอเอง แต่เมื่อเหตุการณ์มันคับขัน และมันได้เกิดขึ้นแล้ว การซ้ำเติมอะไรกับเด็กอีก มันย่อมไม่เกิดผลใดๆ ดีขึ้น ทางที่ดีผมต้องยอมเจ็บตัว ยอมลด..ยอมเสียศักดิ์ศรี เพื่ออนาคตของเขา
เป็นความโชคดีที่ผมเจออาจารย์หัวหน้าสาขาบัญชี ก่อนพบอาจารย์ผู้สอนจึงได้คุยกัน เพื่อหาทางช่วยเหลืออรัญญา
"อาจารย์ ธัญญากร ช่วยบอกเขาด้วยว่าผม ขอบิณฑบาต ไม่ให้เด็กติด F เป็นของขวัญก่อนวาระเกษียณอายุ จะได้มั้ย"
"เดี๋ยวหนู จัดการให้ค่ะ รับรองไม่ติด F แน่นอน" หัวหน้าสาขาบัญชีรับปากกับผม
"เพื่ออนาคตเด็กนะครับ ขอบคุณมาก"
ผมรีบเร่งเดินกลับมาที่ห้องส่งอย่างเร่งรีบ เพื่อจะได้บอกข่าวดีแก่อรัญญา จะอย่างไร น้ำตาของเธอก็ยังซึมออกจากเบ้าตาเป็นละลอกๆ เมื่อมาถึงห้องดำเนินรายการวิทยุ อาการเหนื่อย หอบ ที่ต้องเร่งรีบ จึงไม่ทันได้พูดอะไร
"เป็นไงบ้างคะ อาจารย์"
"โอย เหนื่อย.." ผมพูดเบื้องต้น พร้อมหยุดหอบ ชั่วครู่
"ไม่ติด F แล้วล่ะ แต่..เกรดเฉลี่ยสะสม ไม่ถึง 2.00 น่ะ อาจารย์จะต้องแก้เกรดวิชาที่อาจารย์สอนของคุณใหม่โดยต้องแก้เกรดจาก B เป็น A นะสิ แล้วอาจารย์ก็ได้ส่งเกรด ไปแล้วด้วย"
ปัญหาคลายไปเปลาะหนึ่ง ก็มาเจออีกเปลาะ หากเรายังจัดรายการอีก นศ. ต้อง หมดอนาคตแน่ คิดแล้ว จึงประกาศออกสถานีอีกครั้ง
"วันนี้ของดรายการสด เพราะต้องทำงานด่วน เพื่ออนาคตของเด็กคนหนึ่ง ขอความเห็นใจผมด้วยครับ พรุ่งนี้ค่อยฟังรายการครับ สวัสดี"
ผมได้มาที่แผนกทะเบียน โดยแจ้งให้หัวหน้าแผนกทะเบียนได้ทราบว่า คะแนนที่ผมส่งมา จำเป็นต้องแก้ไขอะไรบางอย่าง เขาได้ยินยอมอนุญาตให้แก้ไข เพื่ออนาคตของนักศึกษา ทุกๆ ขั้นตอนที่ผมทำ ได้ปรึกษากับทาง ผช. ผอ. วิชาการ เพื่อความปลอดภัยตนเองด้วย เพราะที่นี่.. ถ้าผมทำอะไรพลาด คือ ตายสถานเดียว แต่ถ้าพวกเขาทำผิด.ช่วยกันกลบเกลื่อน ไม่รู้ไม่ชี้... ในวันดังกล่าว อรัญญา ได้เห็นผมเร่งรีบ กุลีกุจอ เพื่อเขาทุกอย่าง งดและหยุดจัดรายการวิทยุ เพื่อเป็นธุระให้เขาไม่ต้องติด F ทั้งยังแก้ไขเกรด เพื่อให้เขาได้เกรดเกิน 1.99
อรัญญาได้จบทันเวลาพอดี จาก น้ำตา…อาบแก้ม กลับเปลี่ยนแปลง มาเป็น รอยยิ้ม เธอได้เรียนต่อปริญญาตรี... ผมได้สอนเธอ 1 วิชา ก่อนเกษียณอายุ
ผมไม่อยากเชื่อสายตาของผมเลยว่า อรัญญา จะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างมาก ทุกครั้งที่เธอเจอผม กลับทำตัวเสมือนคนไม่รู้จัก ..ผมนิ่งเฉย และรับสภาพกับความจริง กับเรื่องสัจธรรมที่มันเกิดกับตัวผม “เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน" ทุกอย่างที่ผ่านมา ที่ผมช่วย เหลือศิษย์เป็นพันเป็นหมื่นคน ผมถือว่า มันคือหน้าที่ ที่ผมต้องทำ ผมไม่ได้เรียกร้องอะไร เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ของตน หากพวกคุณทำหน้าที่ดี ผลดีมันก็ย่อมเกิดแก่ตัวตน แม้อรัญญาจะมีพฤติกรรม เปลี่ยนไป จะอย่างไร ผมก็ยังห่วงเธอตลอดเรื่อยมา
เมื่อวันรับปริญญาวันที่ 28 สิงหาคม ผมได้เห็นภาพรับปริญญาของลูกศิษย์ ที่มีรอยยิ้มกันถ้วนหน้า.. ผมปิติยินดี ทั้งยังถามไถ่กับเอกพจน์ซึ่งเพื่อนสนิทของอรัญญาไปว่า
"อรัญญา จบทันได้รับปริญญาหรือไม่ และมารับปริญญาด้วยมั้ย” คำตอบคือ จบพร้อมกันครับ
บัณฑิตคนนี้...คงอาจลืมคราบน้ำตา เมื่อครั้งอดีตไปเสียแล้ว ..รอยยิ้ม..ของเธอในวันรับปริญญา ทำให้ครอบครัวยินดี มีความสุข อย่างน้อย ผู้อยู่เบื้องหลังด้วยคนหนึ่ง ก็ต้องขอร่วมแสดงความยินดี กับอรัญญาด้วย แต่อยากฝากสะกิดเตือนใจเล็กๆ น้อยๆ ว่า คนเราลืมอะไรก็ลืมได้ แต่มิควรลืม... .....................
ลองทบทวนดูครับ ..อรัญญา ว่า เธอ......... ลืมอะไร...
ขลุ่ย บ้านข่อย ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น